ใช้เติมลงไปในหลอดหมึกเดิม ตามรหัสของหลอดหมึกดังนี้
CT 200649 = Black Toner Cartridge (4K) High Capacity (Hi-Cap.)
CT 200650 = Cyan Toner Cartridge (4K) High Capacity (Hi-Cap.)
CT 200651 = Magenta Toner Cartridge (4K) High Capacity (Hi-Cap.)
CT 200652 = Yellow Toner Cartridge (4K) High Capacity (Hi-Cap.)
CT 200920 = Cyan Toner Cartridge (1.5K) Standard Capacity (Std-Cap.)
CT 200921 = Magenta Toner Cartridge (1.5K) Standard Capacity (Std-Cap.)
CT 200922 = Yellow Toner Cartridge (1.5K) Standard Capacity (Std-Cap.)
เมื่อผงหมึกใกล้หมด เครื่องจะแสดงข้อความบนหน้าปัทม์ว่า [สีของผงหมึก] Replace Soon แล้วแต่สีใดหมดก่อน เมื่อผงหมึกหมดก็จะแสดงข้อความว่า [สีของผงหมึก] Please Replace
สีทั้ง 4 สีจะหมดในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่อาจจะไม่พร้อมกัน โดยแม่สีทั้ง 3 คือ CMY จะผสมสีกันเพื่อทำภาพ ส่วนสีดำ K จะทำให้ภาพเข้มขึ้น ดังนั้นไม่ว่าจะพิมพ์อะไรก็ตาม เครื่องจะใช้ทั้ง 4 สีแน่นอน อยู่ที่ว่าจะใช้รายละเอียดของสีใด มาก-น้อยเป็นพิเศษหรือไม่ ดังนั้นในครั้งแรกควรซื้อเป็นชุดทั้ง 4 สีก่อน แล้วครั้งต่อไปค่อยสั่งสีที่ใช้บ่อยครั้งตามความต้องการ
เป็นเรื่องปกติ ผงหมึกที่ติดมากับเครื่องจากโรงงานจะให้มาไม่มาก ดังนั้นผงหมึกที่เริ่มใช้ในตอนแรกจะหมดเร็วมาก ดังนั้นไม่จำเป็นต้องรอให้เครื่องเตือนก่อน ยังไงก็ต้องเติมอยู่ดี ให้ซื้อผงหมึกไปเตรียมไว้ก่อนที่เครื่องจะหยุดทำงาน
เมื่อเติมผงหมึกลงไปในหลอดหมึก หรือตลับหมึกแล้ว เครื่องก็ยังไม่สามารถทำงานต่อได้ จนกว่าจะเปลี่ยน ชิพหมึก (Toner Cartridge Chips) เสียก่อน หรือนำเครื่องมาทำการ Reset และควรเติมผงหมึกให้เต็มก่อนทุกครั้ง ก่อนการเปลี่ยนชิพหมึก หรือทำการ Reset เครื่องพิมพ์
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผงหมึก อยู่ในบทความตามลิงค์ด้านบน