เป็นผงหมึกเติม ใช้เติมลงไปในหลอดหมึกเดิม เพื่อชะลอการเปลี่ยนผงหมึกใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ ผงหมึกที่ติดมากับเครื่องจากโรงงานจะให้มาไม่มาก (สำหรับรุ่นนี้จะระบุว่าให้ผงหมึกติดเครื่องมา 50% คือสามารถพิมพ์หมึกดำได้ประมาณ 1,000 แผ่น และพิมพ์สีได้ประมาณ 700 แผ่น) เมื่อเติมผงหมึกลงไปแล้วก็จะใช้งานได้มากขึ้นกว่าปกติ
ผงหมึกที่เริ่มใช้ในตอนแรกจะหมดเร็วมาก ดังนั้นถ้าซื้อเครื่องมาใหม่ เราจึงขอแนะนำว่าให้ซื้อผงหมึกไปเติมก่อนที่เครื่องจะหยุดทำงาน ไม่จำเป็นต้องรอให้เครื่องเตือนผงหมึกก่อน จะไม่ทันการ อีกอย่าง ถึงยังไงท่านก็ต้องได้เติมอยู่ดี เติมเสียแต่เนิ่นๆดีกว่าจะได้ใช้งานได้เต็มที่
ตรวจสอบหลอดหมึกของท่าน ตามรหัสของหลอดหมึกดังนี้
ตลับหมึกที่ติดเครื่องมาจากโรงงาน
A124 = Yellow Toner Cartridge (Y)
A125 = Magenta Toner Cartridge (M)
A126 = Cyan Toner Cartridge (C)
A127 = Black Toner Cartridge (K)
ตลับหมึกแท้ ที่ซื้อใหม่
CT 201591 = Black Toner Cartridge (K)
CT 201592 = Cyan Toner Cartridge (C)
CT 201593 = Magenta Toner Cartridge (M)
CT 201594 = Yellow Toner Cartridge (Y)
เมื่อผงหมึกในตลับหมึกหมดแล้ว เครื่องจะแสดงข้อความบนหน้าปัทม์ดังนี้
Replace xxxx Cartridge [xxxx = สีของผงหมึก]
สถานะหลอดไฟสีเขียว [READY]
หมายความว่า "ให้เปลี่ยนตลับหมึกใหม่"
เพราะผงหมึกในตลับหมึกหมดแล้ว (แต่ยังมีผงหมึกสำรองในเครื่อง)
จึงทำให้ยังสามารถพิมพ์ได้อีกเล็กน้อย
เมื่อผงหมึกสำรองหมดแล้ว เครื่องจะแสดงข้อความบนหน้าปัทม์ดังนี้
Empty xxxx Cartridge [xxxx = สีของผงหมึก]
สถานะหลอดไฟสีแดง [ERROR]
หมายความว่า "ให้เปลี่ยนตลับหมึกใหม่"
(เพราะผงหมึกทั้งในตลับหมึก และผงหมึกที่เก็บสำรองในเครื่องหมดแล้ว)
เครื่องจะหยุดทำงาน ไม่สามารถพิมพ์งานต่อได้
เมื่อเราเปลี่ยนตลับหมึกใหม่ หรือทำการเติมผงหมึกลงไปในตลับหมึกจนเต็ม ผงหมึกจะถูกระบบดูดไปทดแทนที่ส่วนสำรองผงหมึกเกือบครึ่งตลับอยู่ดี และใช้เวลาสักพัก เพื่อตรวจสอบและปรับปรุงความหนาแน่นของผงหมึก ให้พร้อมก่อนจะเริ่มงานต่อไป
ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องรอให้ผงหมึกหมดก่อนแล้วค่อยเติม เพราะผงหมึกเหล่านั้นก็ไม่ได้หายไปไหน ก็ยังไปตามระบบส่งหมึกในเครื่องตามขั้นตอนของมัน ไม่ต้องกลัวว่าจะใช้ผงหมึกได้ไม่หมดตลับ เพราะตลับหมึกรุ่นนี้ เป็นทรงแนวตั้ง ผงหมึกจะไหลลงมาสู่ด้านล่างเองด้วยน้ำหนักของมัน ลักษณะคล้าย "กรวย" หรือ "แท๊งค์น้ำ" แถมยังมีใบพัดตักหมึกในส่วนปลายอีกด้วย เพราะฉะนั้น หมึกหมดแน่ๆครับ
สีทั้ง 4 สีจะหมดในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่อาจจะไม่พร้อมกัน โดยแม่สีทั้ง 3 คือ C M Y จะผสมสีกันเพื่อทำภาพ ส่วนสีดำ K จะทำให้ภาพเข้มขึ้น ดังนั้นไม่ว่าจะพิมพ์อะไรก็ตาม เครื่องจะใช้ทั้ง 4 สีแน่นอน อยู่ที่ว่าจะใช้รายละเอียดของสีใด มาก-น้อยเป็นพิเศษหรือไม่ ดังนั้นในครั้งแรกควรซื้อเป็นชุดทั้ง 4 สีก่อน แล้วครั้งต่อไปค่อยสั่งสีที่ใช้บ่อยครั้งตามความต้องการ
เมื่อเติมผงหมึกลงไปในหลอดหมึก หรือตลับหมึกแล้ว เครื่องก็ยังไม่สามารถทำงานต่อได้ จนกว่าท่านจะทำการเปลี่ยนชิพหมึก (Toner Cartridge Chip) แต่ปัญหาก็คือ ณ เวลานี้ เครื่องนี้ยังใหม่มากในตลาด ตอนนี้วิศวกรกำลังทำการวิจัย และกำลังสร้างชิพหมึกใหม่ เพื่อใช้ทดแทนชิพหมึกตัวเดิมที่ติดตลับหมึกมาจากโรงงาน ซึ่งยังไม่เสร็จครับ ยังต้องรออีกพักใหญ่ๆ สินค้าสำหรับรุ่นนี้จึงมีแต่เพียงผงหมึกเติมเท่านั้น ไม่มีชิพหมึก (Toner Cartridge Chip) และชุดเริ่มต้นเติมผงหมึก (Starter Kit) ดังนั้นต้องใช้ทางเลือกอื่นแทน โดยการซื้อหลอดหมึกใหม่มาใช้งานไปก่อนครับ
สรุป เมื่อผงหมึกหมด ท่านมี 3 ทางเลือกคือ
- ซื้อหลอดหมึกใหม่มาเปลี่ยน
(มีราคาสูง ประมาณ 8,000 กว่าบาท ไม่แนะนำ)
- ยกเครื่องมาให้เราทำการ Reset Toner Chip
ซึ่งจะมีผลลัพท์เท่ากันกับการซื้อหลอดหมึกใหม่มาเปลี่ยน เพียงแต่ท่านต้องยกเครื่องพิมพ์มาให้เราทำการ Reset
(แนะนำเฉพาะท่านที่อยู่ใกล้เราเท่านั้น ลูกค้าต่างจังหวัด ไม่แนะนำ)
- ซื้อชิพหมึกไปเปลี่ยนใหม่ แทนตัวเดิม (ซื้อครั้งแรกครั้งเดียว ครั้งต่อไปไม่ต้องซื้ออีก)
(แนะนำ เหมาะสำหรับทุกท่าน)