ใช้เปลี่ยนแทนชิพหมึก หรือชิพดรัมตัวเดิมที่หมดอายุการใช้งานแล้ว ชิพตัวนี้จะติดอยู่บนชุด Print Cartridge ตามรหัสของผลิตภัณฑ์ดังนี้
CT 350481 = Black Toner Cartridge หรือ K
Std-Cap (Standard Capacity) 3,000 Page (ใช้พื้นที่ 5% ของกระดาษ A4)
CT 350482 = Cyan Toner Cartridge หรือ C
Std-Cap (Standard Capacity) 2,000 Page (ใช้พื้นที่ 5% ของกระดาษ A4)
CT 350483 = Magenta Toner Cartridge หรือ M
Std-Cap (Standard Capacity) 2,000 Page (ใช้พื้นที่ 5% ของกระดาษ A4)
CT 350484 = Yellow Toner Cartridge หรือ Y
Std-Cap (Standard Capacity) 2,000 Page (ใช้พื้นที่ 5% ของกระดาษ A4)
CT 350485 = Black Toner Cartridge หรือ K
Hi-Cap (High Capacity) 8,000 Page (ใช้พื้นที่ 5% ของกระดาษ A4)
CT 350486 = Cyan Toner Cartridge หรือ C
Hi-Cap (High Capacity) 6,000 Page (ใช้พื้นที่ 5% ของกระดาษ A4)
CT 350487 = Magenta Toner Cartridge หรือ M
Hi-Cap (High Capacity) 6,000 Page (ใช้พื้นที่ 5% ของกระดาษ A4)
CT 350488 = Yellow Toner Cartridge หรือ Y
Hi-Cap (High Capacity) 6,000 Page (ใช้พื้นที่ 5% ของกระดาษ A4)
ชิพตลับหมึกพิมพ์ (Print Cartridge Chip) จะใช้ 1 ตัวต่อชุด Print Cartridge 1 ตลับ จำเป็นต้องใส่ให้ตรงกับสีของตลับหมึกพิมพ์ที่ใช้ ไม่สามารถใส่ชิพตลับหมึกพิมพ์สลับสีกันได้ ดังนั้นควรมีชิพตลับหมึกพิมพ์สำรองไว้ตลอดเวลา เพราะเราไม่สามารถเจาะจงได้ชัดเจนว่าเครื่องจะหยุดทำงานเมื่อไหร่ ในสภาวะที่เครื่องเตือนผงหมึกใกล้หมด
อายุของชิพตลับหมึกพิมพ์ (Print Cartridge Chip) จะใช้ได้เท่ากับชุด Hi-Cap (High Capacity)
ติดตามอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสินค้าตัวนี้ได้ที่ ลิงค์ด้านบนครับ