- ชิพหมึก คือตัวนับอายุ นับแต่ตัวเลขอย่างเดียว ไม่เกี่ยวกับใคร
- เมื่อชิพหมึกนับตัวเลขถึงค่าที่ตั้งไว้ เครื่องจะเตือนก่อน สักพักก็จะล๊อค ใช้งานไม่ได้
- ถึงแม้จะเติมผงหมึกลงไป เครื่องก็จะยังทำงานต่อไม่ได้ หากเราไม่เปลี่ยนชิพหมึก
- ชิพหมึก ถ้ายังนับตัวเลขไม่หมด แต่ผงหมึกหมดก่อน เครื่องจะล๊อคทันที (ดังนั้น ก่อนจะเปลี่ยนชิพหมึก ให้แน่ใจว่า มีผงหมึกอยู่อย่างเพียงพอ หรือเต็มตลับหมึกแล้ว)
- ชิพหมึกของรุ่นนี้ ถ้าเปลี่ยนเฉพาะตัวชิพหมึก จะมีปัญหามากมาย นับ-ม่ถ้วน จนน่าปวดหัว เพราะตัวล๊อคมีขนาดเล็กเท่ากับเข็มเย็บผ้า ถ้าเปลี่ยนเข้าออกบ่อยๆ จะทำให้สลักยึดหัก และส่งผลให้ตัวชิพหมึก ไม่แตะกับแจ๊คตัวเมียที่เป็นสะพานไฟฟ้า เชื่อมต่อตัวชิพหมึกอยู่
- ชิพหมึกของ COPYCAT จะมาพร้อมกับฝาปิด ทำให้ไม่ต้องไปยุ่งกับตัวชิพหมึก จะได้ไม่มีปัญหากับการถอดใส่เข้าออกบ่อยๆ คือเปลี่ยนทั้งฝาไปเลย ง่าย สะดวก รวดเร็ว ลดปัญหาในอนาคต เหมาะมาก สำหรับผู้ที่ยังไม่มีความชำนาญ หรือไม่มีทักษะทางช่างมากนัก
ตรวจสอบหลอดหมึกของท่าน ตามรหัสของหลอดหมึกดังนี้
ตลับหมึกที่ติดเครื่องมาจากโรงงาน
A124 = Yellow Toner Cartridge (Y)
A125 = Magenta Toner Cartridge (M)
A126 = Cyan Toner Cartridge (C)
A127 = Black Toner Cartridge (K)
ตลับหมึกแท้ ที่ซื้อใหม่
CT 201591 = Black Toner Cartridge (K)
CT 201592 = Cyan Toner Cartridge (C)
CT 201593 = Magenta Toner Cartridge (M)
CT 201594 = Yellow Toner Cartridge (Y)
เมื่อผงหมึกในตลับหมึกหมดแล้ว เครื่องจะแสดงข้อความบนหน้าปัทม์ดังนี้
Replace xxxx Cartridge [xxxx = สีของผงหมึก]
สถานะหลอดไฟสีเขียว [READY]
หมายความว่า "ให้เปลี่ยนตลับหมึกใหม่"
เพราะผงหมึกในตลับหมึกหมดแล้ว (แต่ยังมีผงหมึกสำรองในเครื่อง)
จึงทำให้ยังสามารถพิมพ์ได้อีกเล็กน้อย
เมื่อผงหมึกสำรองหมดแล้ว เครื่องจะแสดงข้อความบนหน้าปัทม์ดังนี้
Empty xxxx Cartridge [xxxx = สีของผงหมึก]
สถานะหลอดไฟสีแดง [ERROR]
หมายความว่า "ให้เปลี่ยนตลับหมึกใหม่"
(เพราะผงหมึกทั้งในตลับหมึก และผงหมึกที่เก็บสำรองในเครื่องหมดแล้ว)
เครื่องจะหยุดทำงาน ไม่สามารถพิมพ์งานต่อได้