ใช้เติมลงไปในหลอดหมึกเดิม ตามรหัสของหลอดหมึกดังนี้
CT201632 = Black Toner Cartridge หรือ K
CT201633 = Cyan Toner Cartridge หรือ C
CT201634 = Magenta Toner Cartridge หรือ M
CT201635 = Yellow Toner Cartridge หรือ Y
เมื่อผงหมึกใกล้หมด เครื่องจะแสดงข้อความบนหน้าปัทม์ดังนี้
Reorder Spare Toner Cart [สีของผงหมึก]
สถานะหลอดไฟสีเขียว [READY]
หมายความว่า "เตรียมตัวสั่งซื้อผงหมึก" (เพราะผงหมึกใกล้จะหมดแล้ว)
เมื่อผงหมึกหมดแล้ว เครื่องจะแสดงข้อความบนหน้าปัทม์ดังนี้
Please Replace Toner Cart [สีของผงหมึก]
สถานะหลอดไฟสีแดง [ERROR]
หมายความว่า "กรุณาเปลี่ยนตลับหมึกใหม่" (เพราะผงหมึกหมดแล้ว)
สีทั้ง 4 สีจะหมดในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่อาจจะไม่พร้อมกัน โดยแม่สีทั้ง 3 คือ C M Y จะผสมสีกันเพื่อทำภาพ ส่วนสีดำ K จะทำให้ภาพเข้มขึ้น ดังนั้นไม่ว่าจะพิมพ์อะไรก็ตาม เครื่องจะใช้ทั้ง 4 สีแน่นอน อยู่ที่ว่าจะใช้รายละเอียดของสีใด มาก-น้อยเป็นพิเศษหรือไม่ ดังนั้นในครั้งแรกควรซื้อเป็นชุดทั้ง 4 สีก่อน แล้วครั้งต่อไปค่อยสั่งสีที่ใช้บ่อยครั้งตามความต้องการ
เป็นเรื่องปกติ ผงหมึกที่ติดมากับเครื่องจากโรงงานจะให้มาไม่มาก ดังนั้นผงหมึกที่เริ่มใช้ในตอนแรกจะหมดเร็วมาก ดังนั้นถ้าซื้อเครื่องมาใหม่ ไม่จำเป็นต้องรอให้เครื่องเตือนผงหมึกก่อน ยังไงๆท่านก็ต้องได้เติมอยู่ดี เราจึงขอแนะนำว่าให้ซื้อผงหมึกไปเติมก่อนที่เครื่องจะหยุดทำงาน
เมื่อเติมผงหมึกลงไปในหลอดหมึก หรือตลับหมึกแล้ว เครื่องก็ยังไม่สามารถทำงานต่อได้ จนกว่าจะเปลี่ยน ชิพหมึก (Toner Cartridge Chips) เสียก่อน และควรเติมผงหมึกให้เต็มก่อนทุกครั้ง ก่อนการเปลี่ยนชิพหมึก
เติมเต็มๆได้ 2 ครั้ง