• ตลับหมึกเดิม ที่ติดกับเครื่องมาจากโรงงาน จะไม่มีชิพหมึกติดมาด้วย
• ชิพหมึกที่เรานำมาจำหน่าย จะมาพร้อมกับฝาล๊อค เสียบเข้ากับตลับหมึกใช้งานได้ทันที
  ถ้าบางร้านขายผงหมึกแล้วแถมชิพให้ ถ้าไม่มีฝา ชิพหมึกก็จะไม่มีที่เสียบ ต้องแปะด้วยกาวช้าง อาจจะมีปัญหา กรณีที่ติดไม่ตรง ทำให้ชิพหมึกเสียบไม่สนิท มีปัญหาดีบ้างเสียบ้าง เดี๋ยวเป็น เดี๋ยวไม่เป็น ตามปัญหาลำบาก (แค่ใส่ปลอก ทุกอย่างก็จบ)
  ยกเว้น คุณอาจจะซื้อหลอดหมึกใหม่ ซึ่งจะมีชิพหมึกของใหม่ติดมาด้วย ก็อาศัยปลอกของหลอดหมึกใหม่นั้น (ราคามหาโหด)
• ใช้เสียบใส่ในช่อง ที่ตลับหมึกเดิมจากโรงงาน ซึ่งจะมีช่องเตรียมไว้ให้อยู่แล้ว
• ใส่แล้วใช้งานได้ทันที ระดับแสดงปริมาณของผงหมึกจะเต็มทันที
• เมื่อใส่ชิพหมึกครบทุกสี สามารถทำการ Bypass เพื่อให้ชิพหมึกไม่ต้องแสดงผล
• การ Bypass คือการต่อตรง หรือการยกเลิกการนับตัวเลขของชิพหมึก หรือการยกเลิกการแสดงผล ส่งผลให้เวลาเราเติมผงหมึก เราจะได้ไม่ต้องเปลี่ยนชิพหมึกอีก
• หากใช้งานไปเรื่อยๆ เครื่องล๊อค เพราะผงหมึกหมด เราก็เติมผงหมึก พอใส่เข้าไปในเครื่อง เครื่องจะดูดหาผงหมึกสักพัก แล้วเริ่มทำงานต่อ ไม่ต้องซื้อชิพหมึกอีกเลย
  (ซื้อครั้งแรกครั้งเดียว) หรือจนกว่าชิพหมึกจะเสีย
• ไม่ต้องทำการ Reset ใดๆ (เพราะชิพหมึกรุ่นนี้ Reset ไม่ได้)
  ให้ใช้การ Bypass แทน ดีกว่ามาก ไม่เสียเวลา ลูกค้าทำเองได้ บนหน้าปัทม์ของเครื่อง
• ตัวผมเป็นคนตั้งคำว่า "Bypass" ขึ้นมาเอง ไม่ต้องไปถามใครที่ไหน เพราะเขาอาจจะงงครับ
  เหตุผลที่ตั้งคำนี้ ก็เพื่อไม่ให้ลูกค้าสับสนกับคำว่า Reset มันคนละเรื่องกันครับ 

รหัสของหลอดหมึกใหม่ (ไม่ใช่อันที่ติดมากับเครื่อง) มีรหัสประจำตัวหลอดหมึกดังนี้

CT 201632 = Black Toner Cartridge
CT 201633 = Cyan Toner Cartridge
CT 201634 = Magenta Toner Cartridge
CT 201635 = Yellow Toner Cartridge

• แต่ละสี แต่ละหลอด จะสามารถใช้งานได้ 3,000 หน้า ต่อ 1 หน้ากระดาษ A4 ที่ใช้พื้นที่ประมาณ 5%
  (ถ้าพิมพ์รูปภาพเต็มแผ่น A4 จะใช้ผงหมึกมากขึ้น 10 เท่า ก็ใช้ได้ประมาณ 300 หน้า)
  ถ้าเราไม่ทำการ Bypass เมื่อใช้งานไปจนชิพหมึกล๊อค เราต้องซื้อชิพหมึกมาเปลี่ยนใหม่ เท่านั้น
• ชิพหมึกจะใช้ 1 ตัวต่อหลอดหมึก 1 หลอด หรือ 1 สี
• ไม่สามารถใส่ชิพหมึกสลับสีกันไปมาได้